คู่มือการเทรดผลิตภัณฑ์ออปชันส์บน KuCoin
I. คำจำกัดความของคำศัพท์
- การเทรดออปชันส์: ออปชัน คืออนุพันธ์ทางการเงินที่ให้สิทธิ์แก่ผู้ซื้อในการซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิง ณ ราคาและวันที่ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า โดยการซื้อ Call Option ผู้ถือมีสิทธิ์ที่จะซื้อสินทรัพย์อ้างอิงในวันที่กำหนดในอนาคต โดยไม่มีภาระผูกพันที่จะต้องทำเช่นนั้น สำหรับ Put Option ผู้ถือมีสิทธิ์ที่จะขายสินทรัพย์อ้างอิง
- ประเภทของออปชันส์: ออปชันส์ถูกจัดหมวดหมู่ตามวิธีการใช้สิทธิ์ เช่น แบบยุโรป แบบอเมริกัน และแบบอื่นๆ ซึ่ง KuCoin เป็นออปชันส์สไตล์ยุโรป
- สินทรัพย์อ้างอิง: สินทรัพย์ที่ระบุไว้ในสัญญาอนุพันธ์ KuCoin รองรับสัญญาออปชันส์ใน Bitcoin (BTC) และ Ethereum (ETH)
- วันหมดอายุ: วันที่สัญญาออปชันหมดอายุ โดยหลังจากเลยวันที่นี้ ออปชันจะถือเป็นโมฆะ ทั้งนี้ วันที่นี้จะแสดงในออปชัน
- ราคาใช้สิทธิ์: ราคาที่ตกลงกันที่สินทรัพย์อ้างอิงสามารถซื้อหรือขายได้เมื่อออปชันหมดอายุ สำหรับ Call Options นี่จะเป็นราคาที่ผู้ซื้อสามารถซื้อสินทรัพย์ได้ สำหรับ Put Options นี่จะเป็นราคาที่สามารถขายสินทรัพย์ได้
- ราคาดัชนี: ราคาดัชนีของสินทรัพย์อ้างอิงในสัญญาออปชันส์ เช่น BTC หรือ ETH บน KuCoin
- ราคา Mark: ราคายุติธรรมของออปชันที่คำนวณโดยใช้โมเดล Black-Scholes
- ราคาที่ใช้ชำระราคา: ราคาเฉลี่ยถ่วงด้วยเวลาของสินทรัพย์อ้างอิงระหว่างเวลา 14:30 ถึง 15:00 (UTC+7) ในวันที่หมดอายุ ซึ่งใช้เป็นราคาที่ใช้ชำระราคาสำหรับออปชัน
- พรีเมียม: ราคาที่จ่ายสำหรับการซื้อออปชัน ผู้ซื้อจ่ายพรีเมียมให้กับผู้ขาย ซึ่งทำหน้าที่เป็นต้นทุนของออปชัน
- Call/Put Options: ในการเทรดออปชันนั้น 'C' (Call) แสดงถึง Call Option (คาดว่าเป็นขาขึ้น) และ 'P' (Put) แสดงถึง Put Option (คาดว่าเป็นขาลง) ซึ่งตัวย่อเหล่านี้มักจะแสดงในคำอธิบายออปชัน
II. กฎของสัญญาออปชันส์บน KuCoin
KuCoin มีออปชันคริปโตสไตล์ยุโรป ซึ่งผู้ใช้สามารถใช้สิทธิ์ออปชันได้ในวันที่หมดอายุเท่านั้น แต่สามารถปิดโพสิชันได้ตลอดเวลาก่อนหน้านั้น ขณะนี้แพลตฟอร์มอนุญาตให้ผู้ใช้เทรดในฐานะผู้ซื้อออปชันเท่านั้น
ประเภทออปชัน | Call Options, Put Options |
คู่เทรด |
แสดงเป็น [สินทรัพย์-วันหมดอายุ-ราคาใช้สิทธิ์-ประเภทออปชัน] เช่น BTC-241205-75000-C หรือ ETH-241012-5000-P ตัวอย่าง: BTC-241205-75000-C แสดงถึง Call Option ใน BTC/USDT ที่มีวันหมดอายุ 5 ธันวาคม 2024 ที่ราคาใช้สิทธิ์ 75,000 USDT ตัวอย่าง: ETH-241012-5000-P แสดงถึง Put Option ใน ETH/USDT โดยมีวันหมดอายุ 12 ตุลาคม 2024 ที่ราคาใช้สิทธิ์ 5,000 USDT |
สินทรัพย์อ้างอิง | BTC, ETH |
สินทรัพย์ที่ใช้คำนวณราคา/ชำระราคา | USDT |
ขนาดคำสั่งขั้นต่ำ | เทียบเท่ากับสัญญาออปชันมูลค่า 10 USDT |
วิธีใช้สิทธิ์ | ชำระใน USDT โดยการชำระราคาจะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติในเวลา 15:00 น. (UTC+7) ในวันที่หมดอายุ |
หน่วยของออปชัน | สัญญาออปชัน 1 หน่วย เป็นตัวแทนของ: 1 BTC สำหรับ BTC Options, 1 ETH สำหรับ ETH Options |
ราคา Mark | KuCoin ใช้โมเดล Black-Scholes เพื่อคำนวณราคายุติธรรมแบบเรียลไทม์ของออปชัน |
ราคาที่ใช้ชำระราคา | ราคาเฉลี่ยถ่วงด้วยเวลาของสินทรัพย์อ้างอิงระหว่างเวลา 14:30 ถึง 15:00 (UTC+7) ในวันที่หมดอายุ KuCoin ใช้ราคานี้เป็นราคาที่ใช้ชำระราคาสำหรับออปชันในการคำนวณยอดการใช้สิทธิ์ |
วันหมดอายุ | วันที่มีการใช้สิทธิ์ออปชัน |
ค่าธรรมเนียม |
ค่าธรรมเนียมการเทรด: 0.03% ค่าธรรมเนียมในการใช้สิทธิ์: 0.02% |
ค่าธรรมเนียมการเทรด |
คำนวณเป็นค่าที่น้อยกว่าของ [อัตราค่าธรรมเนียมการเทรด × ราคาดัชนี × หน่วยของออปชัน × จำนวนสัญญา หรือ 10% × พรีเมี่ยม × จำนวนสัญญา]
|
ค่าใช้จ่ายในการใช้สิทธิ์ |
คำนวณเป็นค่าที่น้อยกว่าของ [อัตราค่าธรรมเนียมการใช้สิทธิ × ราคาที่ใช้ชำระราคา × จำนวนสัญญา หรือ 10% × กำไรของออปชัน × โพสิชัน]
|
ราคาคุ้มทุน |
ลองใช้สัญญาออปชัน 1 สัญญา เป็นตัวอย่าง: สำหรับ Call: ราคาคุ้มทุน = ราคาใช้สิทธิ์ + พรีเมียม (ต่อสัญญา) + ค่าธรรมเนียมการเทรด สำหรับ Put: ราคาคุ้มทุน = ราคาใช้สิทธิ์ - พรีเมียม (ต่อสัญญา) - ค่าธรรมเนียมการเทรด |
III. การคำนวณกำไรและขาดทุน
Call Option: กราฟ P/L ของผู้ซื้อ
หากราคาที่ใช้ชำระราคา ETH ในวันที่ 1 ตุลาคมอยู่ที่ 4,100 USDT ผู้ใช้สามารถใช้สิทธิ์ออปชันโดยจ่ายราคาใช้สิทธิ์ที่ 4,000 USDT เพื่อซื้อ 1 ETH จากผู้ขาย call option โดยระบบจะขาย ETH โดยอัตโนมัติที่ราคาตลาด 4,100 USDT
สมมติว่า ETH ชำระราคาที่ 4,100 USDT ในวันที่ 1 ตุลาคม กำไรสุทธิสามารถคำนวณได้ด้วยสูตรด้านล่าง:
กำไรจากออปชัน = ราคาที่ใช้ชำระราคา - ราคาใช้สิทธิ์ ซึ่งในกรณีนี้คือ: 4,100 USDT - 4,000 USDT = 100 USDT
ค่าธรรมเนียมการใช้สิทธิ์ = Min[อัตราการใช้สิทธิ × ราคาที่ใช้ชำระราคา × จำนวนสัญญา, 10% × กำไรของออปชัน × โพสิชัน] ซึ่งในกรณีนี้คือ: Min[0.02% × 4,100 × 1, 10% × 100 × 1] = 0.82 USDT
กำไรสุทธิ = กำไร - พรีเมี่ยม - ค่าธรรมเนียมการเทรด - ค่าธรรมเนียมการใช้สิทธิ ซึ่งในกรณีนี้คือ: 100 USDT - 10 USDT - 0.1 USDT - 0.84 USDT = 89.06 USDT
หากราคาที่ใช้ชำระราคา ETH ในวันที่ 1 ตุลาคมลดลงเหลือ 3,900 USDT ผู้ใช้สามารถใช้สิทธิ์ออปชันได้ โดยระบบจะซื้อสินทรัพย์ ETH โดยอัตโนมัติที่ราคาตลาด 3,900 USDT และขายให้กับผู้ขาย Put Option ในราคาใช้สิทธิ์ที่ตกลงกันไว้ที่ 4,000 USDT
สมมติว่า ETH ชำระราคาที่ 3,900 USDT ในวันที่ 1 ตุลาคม กำไรสุทธิสามารถคำนวณได้ด้วยสูตรด้านล่าง:
กำไรจากออปชัน = ราคาใช้สิทธิ์ - ราคาที่ใช้ชำระราคา ซึ่งในกรณีนี้คือ: 4,000 USDT - 3,900 USDT = 100 USDT
ค่าธรรมเนียมการใช้สิทธิ์ = Min[อัตราการใช้สิทธิ × ราคาที่ใช้ชำระราคา × จำนวนสัญญา, 10% × กำไรของออปชัน × โพสิชัน] ซึ่งในกรณีนี้คือ: Min[0.02% × 3,900 × 1, 10% × 100 × 1] = 0.78 USDT
กำไรสุทธิ = กำไร - พรีเมี่ยม - ค่าธรรมเนียมการเทรด - ค่าธรรมเนียมการใช้สิทธิ ซึ่งในกรณีนี้คือ: 100 USDT - 10 USDT - 0.1 USDT - 0.78 USDT = 89.12 USDT
IV. ข้อดีของการเทรดออปชันส์
1. ต้นทุนต่ำ ผลตอบแทนสูง
ออปชันส์ ช่วยให้ผู้ใช้สามารถควบคุมโพสิชันขนาดใหญ่ด้วยการลงทุนด้วยเงินก้อนที่น้อยลง
ตัวอย่างเช่น สมมติว่าราคาดัชนี BTC ปัจจุบันอยู่ที่ 65,000 USDT หากมีผู้ต้องการซื้อ 1 BTC ในขณะที่เชื่อว่าราคาจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในเดือนถัดไป การเปรียบเทียบต้นทุนระหว่างการซื้อโพสิชัน BTC เดียวกันในสปอตเทียบกับออปชันมีดังนี้:
ฉันเชื่อว่าราคา BTC ในหนึ่งเดือนจะเป็น | กำไร | ROI | ผลสุดท้าย | |||
5,000 USDT | 5,000 / 65,000 = 7.69% | กำไรจากส่วนต่างราคาสปอต | ||||
3,000 USDT | 3,000 / 2,000 = 150% |
ต้นทุนต่ำกว่า ผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงกว่า |
เมื่อเทียบกับตลาดสปอตแล้ว นักเทรดจะต้องจ่ายพรีเมียมของออปชันเพื่อเข้าสู่ตลาด ได้รับผลตอบแทนที่คาดหวังด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่า
2. จำกัดการขาดทุน ความเสี่ยงต่ำกว่า
ในการเทรดออปชันนั้น ทั้งสองฝ่ายในการเทรดจะต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดของสัญญาเพื่อการชำระราคา ผู้ซื้อมีสิทธิ์ตัดสินใจว่าจะใช้สิทธิ์ออปชันหรือไม่ ซึ่งช่วยให้สามารถจำกัดการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นได้มากเท่าที่จะเป็นไปได้
ยอดขาดทุนสูงสุดของผู้ซื้อจะถูกจำกัดไว้ที่พรีเมียมที่จ่ายสำหรับออปชัน โดยไม่มีข้อกำหนดมาร์จิ้นเพิ่มเติม เพื่อให้แน่ใจว่าสามารถควบคุมยอดขาดทุนได้
ซึ่งการเทรดออปชันจะได้รับอิทธิพลจากราคาที่ใช้ชำระราคาสุดท้ายในวันที่หมดอายุเท่านั้น โดยแตกต่างจากสัญญา Perpetual ที่ความผันผวนของตลาดระยะสั้นสามารถนำไปสู่การชำระบัญชีได้
3. ช่วงเวลาการตัดสินใจที่ใหญ่กว่า
เมื่อผู้ใช้ซื้อออปชัน ผู้ซื้อจะมีช่วงเวลาในการประเมินสภาวะตลาด โดยพรีเมี่ยมจำนวนเล็กน้อยรับประกันเวลาบัฟเฟอร์ที่เพียงพอสำหรับการตัดสินใจอย่างชาญฉลาดก่อนสัญญาหมดอายุ
4. กลยุทธ์การเทรดที่หลากหลาย
ในขณะที่การเทรดฟิวเจอร์สมีเฉพาะโพสิชัน Long และ Short เท่านั้น การเทรดออปชันจะให้ 4 รูปแบบ ได้แก่: การซื้อ Call, การซื้อ Put, การขาย Call, และการขาย Put นักเทรดออปชันสามารถใช้กลยุทธ์ของตนได้โดยไม่เพียงแต่ขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์เท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับช่วงเวลาและความผันผวนด้วย
โดยนักลงทุนที่ไม่ต้องการความเสี่ยงสูงสามารถเลือกที่จะเป็นผู้ซื้อออปชัน ในทางกลับกัน ผู้ที่เป็นกลางต่อความเสี่ยงหรือยอมรับความเสี่ยงได้มากกว่า อาจเลือกที่จะเป็นผู้ขายออปชั่น ด้วยกลยุทธ์ออปชันที่มีอยู่มากมาย นักเทรดสามารถบรรลุผลตอบแทนจากความเสี่ยงที่แตกต่างกัน